24.3.54

รสหญิงปรุงแกงเผ็ด

นี่เพิ่งไปดูละคร “รสแกง” (Taste of Curry) ของ จารุนันท์ พันธชาติ ที่ เดโมเครซี่ เธีร์เตอร์ มา 2 รอบ รอบสองดูกับ 4 หนุ่มนักทำหนังโดมิโน่ฟิล์ม และพี่ สมเกียรติ์ วิทุรานิช (October Sonata) เยี่ยมยอดตามมาตรฐาน บี-ฟลอร์อีกเช่นเคย และคราวนี้ได้ดูกลุ่มนี้แสดงในลีลาเบาสบายแปลกตา เสียดายถ้าคนมีความสามารถแบบชาวคณะละคร บี-ฟลอร์ จะไม่ได้มีโอกาสเป็นที่รู้จักของคนดูละครเวที-ละครทีวี-หนังจอเงิน ให้มากกว่านี้อีก โดยเฉพาะกับนักแสดงแบบ ดุจดาว วัฒนปกรณ์ และ อรอนงค์ ไทยศรีวงศ์ ต่อให้ใครบอกว่า สินจัย เยี่ยมยอดเท่าไรก็เหอะ แต่ถ้ามีคนไทยคนไหนทำหนังเน้นการแสดงขั้นเทพของ John Cassavetes ล่ะก็ 2 สาวไทยนี่เท่านั้นที่จะรับมือไหว เรื่องพลังการแสดงเข้ม ๆ นั้นหายห่วง ดุจดาว คงจะเล่นบทเจ้าแม่ไฟแรงสูงประมาณ Isabelle Huppert ของฝรั่งเศส และถ้าประกบ กับ และ อรอนงค์ ในบทหักขั้วเฉือนคมหญิงแบบ Petra Von Kant (ซึ่ง จุ๋ม สุมณฑา สวนผลรัตน์ เคยแสดง) ก็คงแม่นมั่น 

ว่าไปแล้วน่ามีใครนำ 3 สาวนี่มาเล่นหนังโดยเอามาเล่นเป็นพี่น้องแบบ Three Sisters ของ Chekhov (เคยดูฉบับหนังปี 88 ชื่อ Love and Fear ของ มาเกอเร็ตเต้ ฟอน ทร็อตต้า ที่ Fanny Ardant, Valeria Golino กับ Greta Scacchi แสดงเป็น 3 ใบเถา)

อยากให้มีคนนำความ intimate ของหนังมารวมกับการแสดงขั้นเทพของคนละครเวที (ยังไม่เคยมีหนังแบบนี้เลยนี่นะ) ต้องคิดเขียนบทให้สาว ๆ พวกนี้ได้แสดง เป็นเรื่องแบบวงชีวิตผู้หญิงจริง ๆ ไม่ต้องมีตัวแสดงชายเลยก็ได้ในเรื่อง พระเอกจำเป็นเหรอ ชีวิตพระเอกผู้ชายก็มีในหนังทั่วไปมากอยู่แล้ว คอนเสิร์ตบอยแบนด์ อคาเดมี่ก็ดูไปสิ โปสเตอร์หนังก็ขายแต่หนุ่ม ๆ หรือ แมน ๆ ขายได้จนแก่ บรูซ วิลลิส, คลิ้นท์ อีสต์วู้ด น่าเบื่อจริง ๆ แล้วผู้หญิงแท้กับหญิงรักหญิงก็ต้องดูหนังแอ็คชั่นตามแฟน ชิมิ ชิมิ

ไม่ต้องกลัวเรื่องการแสดงใหญ่ของคนละคร เพราะคนแสดงเขามีเซ้นส์ สามารถเพิ่ม-ลดให้เล็กลงได้ อยากให้หนังของพี่ สมเกียรติ์ เป็นจริง เผื่อจะได้เชิญ ดุจดาว มาเล่น

6.3.54

“นักเรียนหญิง” และ "ภูเขาไฟฟูจิ" ของ ดะสะอิ โอะซะมุ (Dazai Osamu)


จาก “นักเรียนหญิง” กาญจนา ประสพเนตร แปลจาก Josei to ของ ดะสะอิ โอะซะมุ (Dazai Osamu)



ที่ว่าเวลาตื่นแล้วลืมตาแป๋วขึ้นมาทันทีนั้นโกหกชัด ๆ มันต้องมีขุ่นโคลนขึ้นมาก่อนแล้ว ในช่วงนั้นตะกอนจะค่อย ๆ นอนก้นทำให้ส่วนบนค่อย ๆ ใสขึ้น ในที่สุดเมื่อรู้สึกเหนื่อยนั่นแหละ เปลือกตาจึงได้เผยอขึ้น เช้าขึ้นทีไรก็มีแต่เรื่องน่าอับอายและความทุกข์ประดังกันเข้ามาในหัวอกมากมายจนทนไม่ได้ ไม่ไหว ไม่ไหว สารรูปเราตอนเช้า ๆ นี่น่าเกลียดที่สุด ท่อนขาทั้งสองอ่อนล้าไปหมดจนไม่อยากทำอะไรเลย คงเป็นเพราะนอนไม่เต็มอิ่มกระมัง ที่ว่ายามเช้าช่วยให้สุขภาพดีนั้นไม่จริงเลย มันเป็นสีเทาต่างหาก วันไหน ๆ ก็เหมือนกัน เป็นที่สุดแห่งความว่างเปล่า ฉันมักรู้สึกเบื่อชีวิตทุกครั้งเมื่อลืมตาตื่นมาบนที่นอนในตอนเช้า เซ็งเหลือเกิน มีแต่เรื่องน่าเกลียดที่ต้องสำนึกผิดหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งเมื่อมันรวมตัวขึ้นมาเป็นกลุ่มก้อนครั้งใดก็ทำให้จิตใจหดหู่จนต้องดิ้นพราดทุกที

ยามเช้าช่างโหดร้าย

จาก “ร้อยมุมมองภูเขาไฟฟูจิ” ลัดดา แก้วฤทธิเดช แปลจาก Fugakuhyakkei ของ ดะสะอิ โอะซะมุ (Dazai Osamu)

ภูเขาฟูจิที่มองจากหน้าต่างอพาร์ทเมนท์ที่โตเกียวนั้นช่างดูซึมเศร้า ในช่วงฤดูหนาวจะมองเห็นได้ชัดเจน รูปสามเหลี่ยมเล็ก ๆ สีขาวโพลนที่โผล่พ้นเส้นขอบฟ้าออกมาอย่างเงียบ ๆ ก็คือ ฟูจิ ไม่ใช่สิ่งยิ่งใหญ่อะไรเลย มันเป็นเพียงแค่ขนมคริสต์มาสชิ้นหนึ่ง นอกจากนี้ไหล่เขายังเอียงลาดไปทางซ้ายดูไม่มั่นคงเหมือนกับเรือรบซึ่งส่วนท้ายเรือกำลังจมหายไปเรื่อย ๆ ในฤดูหนาวเมื่อสามปีก่อน มีคน ๆ หนึ่งได้เปิดเผยความจริงที่ไม่คาดฝันให้ฟัง ข้าพเจ้าจึงเกิดความรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ และในคืนนั้นเอง ข้าพเจ้าได้ดื่มเหล้าอย่างหัวราน้ำตามลำพังที่ห้องพักในอพาร์ทเมนท์ ดื่มไปโดยไม่ได้หลับแม้แต่สักงีบเดียว พอรุ่งสางข้าพเจ้าลุกไปเข้าห้องน้ำ มองเห็นภูเขาฟูจิจากหน้าต่างมุ้งลวดสี่เหลี่ยมในห้องน้ำ ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมภูเขาฟูจิในวันนั้นเลย เล็ก ขาวโพลน และเอียงลาดในทางซ้ายเล็กน้อย คนขายปลาที่กำลังถีบจักรยานไปตามถนนราดยางมะตอยเบื้องล่างหน้าต่างนั้นพึมพำออกมาได้ความว่า “โอ้โฮ เช้านี้เห็นฟูจิได้ชัดเจนเลย หนาวจัง” ข้าพเจ้ายืนอยู่ในห้องน้ำที่มืดนั้น เอามือลูบมุ้งลวดที่หน้าต่างไปพลางก็ร้องไห้น้ำตาซึม ข้าพเจ้าไม่อยากจะหวนคิดถึงความทรงจำอย่างนั้นอีก

5.3.54

Matsu ของ ดะสะอิ โอะซะมุ (Dazai Osamu)


จาก “คอย” มณฑา พิมพ์ทอง แปลจาก Matsu ของ ดะสะอิ โอะซะมุ (Dazai Osamu)

นี่ฉันมานั่งที่นี่ทุกวันเพื่อคอยใครกันนะ ฉันคอยคนชนิดไหน ไม่ใช่.....คนที่ฉันคอยอาจจะไม่ใช่มนุษย์ก็ได้ ฉันเกลียดมนุษย์ ไม่...ฉันกลัวต่างหาก เวลาที่ฉันต้องทักทายผู้คนไปตามแกนเพื่อพบหน้ากันว่า สบายดีหรือคะ อากาศหนาวขึ้นแล้วนะคะ ฉันรู้สึกขมขื่นอย่างไรบอกไม่ถูก ราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีใครจะพูดโกหกได้เท่าฉันอีกแล้ว และฉันจะเกิดความรู้สึกอยากตายขึ้นมา นอกจากนั้น อีกฝ่ายหนึ่งยังพูดอะไรอย่างอื่นอีก เช่น พูดเตือนให้ฉันระวังตัว หรือพูดสรรเสริญเยินยอจนเกินความจริง แสดงความรู้สึกที่ฟังดูน่าเลื่อมใส ฉันฟังแล้วก็ให้รู้สึกเศร้าใจกับความระแวดระวังของอีกฝ่ายหนึ่ง และในที่สุด ก็เกิดเป็นความเบื่อหน่ายโลกจนทนไม่ไหว

*************************************************************************************

Takako Matsu กับ Tadanobu Asano นำแสดงใน The Villon's Wife (Viyon No Tsuma) ที่สร้างจากเรื่องสั้นของ ดะสะอิ โอะซะมุ (Dazai Osamu)

ฉันรู้สึกขันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จึงหัวเราะออกมาดัง ๆ ฝ่ายภรรยานั้นหน้าแดงออกมานิดหนึ่ง ฉันรู้สึกว่ากำลังเสียมารยาทกับฝ่ายเจ้าของร้านผู้ชาย แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะหยุดหัวเราะได้ ช่างน่าขันเหลือเกิน ฉันหัวเราะจนน้ำตาไหล นึกถึงสิ่งที่สามีเขียนเอาไว้ในกวีนิพนธ์บทหนึ่งที่บอกว่า “การหัวเราะครั้งใหญ่ตอนสิ้นโลก” ขึ้นมาทันที มันคงจะหมายถึงความรู้สึกทำนองนี้กระมัง

จาก “เมียชายโฉด” มณฑา พิมพ์ทองแปลจาก Viyon no Tsuma ของ ดะสะอิ โอะซะมุ (Dazai Osamu)