เรียกว่าจะไม่แลกโอกาสได้ดูหนังแบบนี้ หรือหนังแบบ "ที่รัก" ของ ศิวโรจณ์ คงสกุล กับหนังแบบ อากิระ คุโรซาว่า, คิทาโน่ หรือ มิอิเกะ เด็ดขาด แม้ว่าเราจะชอบหนัง คุโรซาว่า บ้างบางเรื่องก็เถอะ
ตอนแรกได้ดูเรื่องนี้ก่อน Kimi no Yubisaki (きみのゆびさき / เพียงปลายนิ้วของเธอ) ของ Hiroshi Ishikawa ตอนแรกดูก็ไม่รู้ว่าเป็นหนังสั้น เห็นมีแต่สองสาวเดินไปเดินมาบนดาดฟ้าตึก ฝนตกพรำ ๆ ก็หิ้วร่มวิ่งไปที่ทะเล คุยกันจุ๊กจิ๊กริมหาด เหมือนกับว่าอีกคนกำลังจะย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่น แต่ดูมีนัยยะอะไรผูกพันอะไรที่ยังพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ละมุนละไมโคตร
อ้าว กำลังดูเพลิน ๆ ดันจบเสียได้ เรื่องนี้มีสองสาวดาราวัยรุ่นยอดนิยม คือ Maki Horikita กับ Meisa Kuroki (สาวผิวคล้ำจากโอกินาว่าคนนี้เล่นหนังแอ็คชั่นเรื่อง Assault Girls ของ Mamoru Oshii (Ghost in the Shell) ในดีวีดีมีเบื้องหลังถ่ายทำ มีบทสัมภาษณ์สองสาว เสียดายฟังไม่ออก ไม่มีซับอังกฤษ แต่ทำเก๋ตรงที่มานั่งเก้าอี้แบบในห้องเรียนอยู่หน้าห้อง หันหลังให้กระดานดำ และหันหน้าตรงเข้าหากล้อง มีช่วงหนึ่งในการสัมภาษณ์ที่ Maki ลุกมาเขียนชอล์คบนกระดาน น่ารักดี
ถัดจากนั้นไม่กี่วัน จากดีวีดีที่ซื้อในวันเดียวกัน ดูเรื่อง Love on Sunday: Last Word (หนังปี 2006) มี Maki Horikita นางเอกจากเรื่องนั้นมาเล่น
เธอเล่นเป็นสาวที่ใกล้จะตายเลยเขียนจดหมายทิ้งไว้ ขอพ่อกลับไปหวนหาอดีตที่บ้านเก่า กลับไปหาผู้ชายที่เธอเคยรัก ผู้ชายคนนี้ก็ต้อนรับขับสู้เธอดี แต่หัวใจเขาไม่คิดอะไรอื่นไกล เพราะไปอยู่กับคนที่ใกล้กว่าคือผู้หญิงมีลูกมีผัวแล้ว หนังเด่นมากตรงที่สะท้อนชีวิตเรียบ ๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนักที่บ้านนอก แล้วก็ให้ภาพนางเอกที่ไม่ใช่คนดีนักหนา เพราะเธอเริ่มออกลายร้ายเงียบ เพราะเธอไม่ได้ดั่งใจหวัง หนังอาจจะดราม่ารุนแรงกว่านี้ได้ แต่สุดท้ายนางเอกก็เป็นคนธรรมดาไม่ได้ดีชั่วอะไรพิเศษ สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ตีโพยตีพายบอกใครด้วยซ้ำว่าใกล้จะตายอยู่รอมร่อ แต่ฉากบนรถเมล์ที่เธอไล่ยาวโมโนล็อกนั่นแหละ คนดูหลายคนขอตายแทน
เรื่องนี้จิ้งหรีดญี่ปุ่นที่ปกติทำงานดีแล้ว ยิ่งร้องดีเข้าไปอีก เหมาะกับหนังมากขึ้นกว่าหนังญี่ปุ่นทั่วไป
ดูแล้วทึ่งกับการกำกับนักแสดงและบรรยากาศ ทำให้สะดุดชื่อผู้กำกับขึ้นมา คือ ริวอิจิ ฮิโรกิ (Ryuichi Hiroki - 廣木 隆) โชคดีเหลือเกินว่าจากดีวีดีที่ซื้อมาในล็อตเดียวกันมีหนังของคนนี้อีกเรื่อง เลยรีบดูซะ
Girlfriend: Someone Please Stop the World (หนังปี 2004) หนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองสาว สาวคนหนึ่งมีพรสวรรค์ทางถ่ายภาพแต่ชอบเมาเละ และมักตื่นมาพบตัวเองนอนกับชายแปลกหน้า อีกคนหนึ่งติดใจว่าพ่อของเธอทิ้งเธอไปตอนเด็ก จนเธอได้พบเขาอีกและลังเลว่าจะเผชิญหน้าคุยกับเขาดีไหม หนังง่ามแง่อยู่ระหว่างความสัมพันธ์ของคนถ่ายกับคนถูกถ่ายที่เกือบจะเป็นคู่เลสเบี้ยน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสัมพันธ์ที่งดงามในแสงเงาเกินกว่าจะนิยามขอบเขต
เหมือนชีวิตสองสาวนี้ก็มีความสุขดี ไม่ได้ลำเค็ญเหลือแสน การอยู่โดยไม่มีพ่อมันก็อยู่ได้ มันไม่ทำใครตายสักกะหน่อย ส่วนสาวตากล้องก็ไม่ได้ถูกทารุณหรือกดขี่ชีวิต อย่างน้อยคนก็รับรู้ในฝีมือและได้ทำงานในแบบที่อยากทำ (หรือใกล้เคียง) มันก็แค่คนสองคนที่พบคนที่ถูกคอถูกใจช่วยถมถางความโหวงเหวงในใจ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะต้องเกี่ยวกับเซ็กส์เสมอไปอย่างที่คนดูหนังเราจะคุ้นเคย แม้แต่ในฉากถ่ายแบบเปลือยของช่างภาพ-โมเดล (ที่ชวนนึกถึงฉากของ Juliet Binoche กับ Lena Olin ใน Unbearable Lightness of Being - แต่เรื่องนี้คนละอารมณ์กัน) มันก็ให้เข้าใจอุณหภูมิอารมณ์ของสองสาวที่เปิดเผยสีสันในใจใต้ผิวหนังได้ดีขึ้น ละเอียดอ่อนดีเหลือเกินทำหนังแบบนี้ ถึงแม้ตอนดูจะงงนิดหน่อย เหมือนมีทั้งแฟลชแบ็คและแฟลชฟอร์เวิร์ด ปรับสมองตามไม่ทันในช่วงแรก แต่เรื่องอารมณ์คนแสดงและการกำกับมือหนึ่งเลยแหละ
หนังสองเรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่าผู้กำกับ ริวอิจิ ฮิโรกิ ทำหนังเกี่ยวกับผู้หญิงเก่ง วางมือละเมียดละไมแบบชีวิตธรรมดาที่ดูจริงซึ่งหาได้ยากในหนังญี่ปุ่น เพราะส่วนใหญ่จะละเมียดแบบบีบซึ้งเสียมากกว่า
พอค้นข้อมูลดูยิ่งทึ่งว่า ริวอิจิ เคยทำหนัง Pink Film มาก่อน (เพิ่งเห็นว่าเคยทำ 1 ในหนังสั้นอีโรติกผู้หญิงปี 2005 ชุด Female – หนังชุดนี้เคยดู แต่ไม่รู้ว่าเขาทำตอนไหน?) แล้วเขาก็ทำหนังหลายแนว ตั้งแต่ April Bride, Vibrator, Tokyo Trash Baby, M (I Am an S+M Writer), New Type: Just for your Love หรือกระทั่งหนังสารคดี ออกจะมีหนังหลายเรื่องที่รุนแรงพอสมควร แต่ไม่ว่าจะเป็นหนังแนวแรงสุดโต่ง หวานเย็น หรือเรียบง่าย ดูเหมือนเขาพอจะเข้าใจสิ่งแวดล้อมที่กดผู้หญิง และถ่ายทอดได้ถึง ไม่ขนาดเจาะลึกแบบหนัง Eric Rohmer, R.W. Fassbinder หรือ Ingmar Bergman หรอก แต่ก็นับว่าเหนือชั้นมาก พูดจริง ๆ แล้วชอบแบบนี้มากกว่า คนส่วนใหญ่เขาไม่ถกจิตวิญญาณหรือดราม่าเกลียดกันลึก 34 ชั้นแบบหนังฟาสบินเดอร์ หรือ เบิร์กแมน หรอก
เจอบทสัมภาษณ์ Ryuichi Hiroki น่าสนใจที่นี่ http://www.vertigomagazine.co.uk/showarticle.php?sel=bac&siz=1&id=649
เห็นในบทสัมภาษณ์นี้เขาบอกว่า เขาปล่อยตัวเองไปตามสถานการณ์ โอกาสทำหนังเรื่องไหน แนวอะไรก็เข้ามา ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังเล็ก หนังใหญ่ หรือเป็นหนังส่วนตัวเขียนบทเอง เขาชอบท้าทายตัวเองชอบทำหนังที่ต่างไปจากแนวเดิม ๆ ไม่อยากซ้ำรอยตัวเอง แล้วต้องรอทำหนัง 3 ปีเรื่องในเรื่อง Love on Sunday: Last Word ริวอิจิ บอกว่า Maki Horikita นางเอกทีนไอดอลคนดังมีตารางเวลาให้ถ่ายหนังแค่ 1 อาทิตย์ เขาก็เลยรีบทำหนังแบบเรียบง่ายที่สุด ใช้โลเกชั่นเดียว ตอนหลัง มากิ สบายใจในการทำงานมาก เลยเพิ่มเวลาให้ถ่ายได้อีก 3 วัน
2 ความคิดเห็น:
เอาไปลงกลแสงได้ไหมครับ
ถ้าชายว่าโอเคก็โอเค
แสดงความคิดเห็น