

วันเปิดงานหอศิลป์ 23 กันยายน 2551 ศิลปะสำคัญกว่าปากท้องหรือวะ สงสัยมากตอนเดินไปกับเพื่อน ๆ น้อง ๆ ชมงานศิลป์ที่ติดตั้งเสร็จแล้วในวันเปิดงาน ท่ามกลางเสียงเอะอะคึกคัก เพลงเอลวิสโปก ๆ คนเดินกันขวักไขว่ โอ้ย ท้องหิว สองทุ่มแล้วยังไม่ได้กินข้าวเย็น แต่เอาวะ ได้ดูงานของ Louise Bourgeois เคยเห็นแต่ในหนังสือ นี่เลย ถ่ายภาพมาด้วย พอถ่ายเสร็จคุณพนักงาน เขาบอกว่าห้ามถ่าย อ้าว ไม่เห็นมีป้ายบอก ดูเหมือนคนอื่น ๆ ก็ถ่ายรูปกันเกือบทั่วหอศิลป์นี่นะ
เห็นฝรั่งหน้าตาดีสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง เลยถ่ายภาพมาเผื่อ MDS ในภาพนี่เขาถือลูกโป่งของศิลปินที่เขียนว่า “ควายหวังหม่ำ” (ดูภาพแล้วอยากหม่ำเขาไหมเล่า)(คลิ้กดูภาพใหญ่)
เมื่อวันอาทิตย์ 21 กันยายน นั่งยุให้ป๋า ไมเคิล เชา ทำ Iron Pussy ภาคใหม่ เป็นหนังกำลังภายในท่าจะดี หนังคาวบอยน่าจะสวย เอาแบบที่ไม่มียิงปืนกัน แต่ใช้สมองต่อสู้ก็น่าจะแปลกดี รู้สึกนึกไม่ออกว่าหนังคาวบอยมีทำแบบนี้บ้างหรือยัง ที่ใกล้เคียงก็ Destry Rides Again ที่ เจมส์ สจ๊วต พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ปืนอยู่ค่อนเรื่อง
เล่มนี้ก็ชอบมาก แต่ต้องเขียนให้สั้นที่สุด เดี๋ยวหาว่าเราโม้
หนังสือการ์ตูน Summer Blonde ของ Adrian Tomine เล่มนี้ไม่สนใจจะดูแลความรู้สึกคนอ่านทุกคน แต่ก็ละเอียดอ่อนพอที่จะไม่มักง่ายคอยจู่โจมจุดอ่อนเพียงเพื่อหวังบีบอารมณ์ คิดว่าเพื่อนที่ชอบดูหนังหลายคนน่าจะชอบน่ะ
มีอยู่หลายครั้งที่การสุ่มดูหนังให้ความประหลาดใจเกินคาด
พระเอกแบกแท่งอะไรยาว ๆ เดินไปตามถนน ที่เดินตามหลังมาห่าง ๆ คือกลุ่มชาวบ้านแต่งตัวอาวุธครบมือ
Sterling Hayden ที่คนดูหนังคุ้นหน้าจากบทใน The Killing, Dr. Srangelove, The Asphalt Jungle และ The Godfather รับบทหนุ่มเชื้อสวีเดนหน้าซื่อที่ยิงปืนก็คงไม่เป็น เขาท่องทะเลไปไกลถึง 19 ปี ก่อนจะกลับบ้านมาด้วยความหวังที่จะเจอพ่อผู้ชรา แต่แล้วก็พบว่าพ่อของเขาถูกเศรษฐีชั่วสั่งเก็บ เพราะหวังฮุบที่ดินคนทั้งหมู่บ้านเพื่อขุดน้ำมัน
ในฉากไคลแม็กซ์ที่เราได้ดูบางส่วนจากภาพแฟลชฟอร์เวิร์ดล่วงหน้า เราคนดูถึงได้รู้ว่า สิ่งที่พระเอกแบกมาในมือคือ ฉมวกล่าฉลาม
ไหน ๆ หนังเก่าที่อำนวยการสร้างโดย โรเจอร์ คอร์แมน (Roger Corman) อย่าง Death Race 2000 ก็ถูกนำมารีเมคใหมแล้ว เลยต้องบันทึกเสียหน่อยว่า หนังที่ คอร์แมน กำกับ อย่าง The Young Racers กับ Gas! นี้มันเกินคาดเลย ตอนเขียน ฟิล์มไวรัส 5 ฉบับปฏิบัติการหนังทุนน้อย ยังไม่เคยดู 2 เรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าหนังมันจะเข้าท่าทีเดียว
ส่วน Gas! – Or - It Became Necessary to Destroy the World in Order to Save I (1971) นี่เกินบรรยายจริง ๆ ไม่รู้ได้อะไรจากหนัง Week-End ของ ฌอง-ลุค โกดาร์ มาบ้างเปล่า หนังเป็น Road Movie หนุ่มสาวฮิปปี้เดินทางบ้าบอไปเรื่อย ๆ ทั่วอเมริกา เจอตัวละครจากหนัง จากประวัติศาสตร์ (เจอนักเขียน เอ็ดการ์ อลัน โป ในชุดดำบนมอเตอร์ไซค์ พร้อมสาวลึกลับ) ตัวละครทำอะไรไม่มีเหตุผล บ้าบอดี นอกจากฉายคู่กับ Week-End แล้วต้องประกบกับหนังของ กัลปพฤกษ์ เอ๊ยหนัง Ritwik Ghatak เรื่อง Reason, Argument and a Tale
ตอนอ่านก็ไม่ได้ชอบนักหนา แต่ไม่รู้ทำไมผ่านมาเดือนกว่า ๆ แล้วยังลืม Out Backward ไม่ลง
แซม ไม่ใช่ตัวเอกที่ดีเด่อะไร เขาไม่ไช่พวกอนุรักษ์ที่จะออกมาปกป้องชีวิตวัฒนธรรมแบบเก่าที่กำลังจะเปลี่ยนไป ในความมีวินัยขยันทำงานช่วยพ่อแม่ เขาก็ซ่อนความแสบลึกไว้ในตัว เวลาเห็นพวกนักท่องเที่ยวเดินป่าก็ชอบกลั่นแกล้งสะใจ แล้วเขายังมีประวัติเรื่องเพื่อนนักเรียนหญิงเป็นคดีติดหลัง จนกระทั่งถูกอัปเปหิจากโรงเรียน เรื่องนี้ใคร ๆ ในหมู่บ้านก็รู้กันทั่ว แม่เขาเองบอกว่าเป็นเวรกรรมที่ แซม เกิดมาต่างจากชาวบ้าน (ภาษาอังกฤษว่า out backward) ทั้งพ่อและแม่กำชับนักหนาไม่ให้ แซม ไปยุ่มย่ามกับ ครอบครัวคนเมืองบ้านหนึ่งที่เพิ่งอพยพเข้ามาพักไม่ไกลกันนัก เพราะว่าผู้ดีบ้านนั้นเขาพาลูกสาววัยรุ่นคนหนึ่งย้ายมาปักหลักที่นี่ด้วย
บทสรุปเรื่องราวประเภทนี้หาแฮปปี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่รอยแผลที่นิยายทิ้งไว้มันทำให้คนอ่านอดคิดมากไม่ได้ มันทำให้นึกถึงบทพูดตอนหนึ่งในหนังแนว Western ของ Anthony Mann เรื่อง The Last Frontier
หนังและนิยายที่ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน และมีบทสรุปต่างกันนี้ เหมือนกันอย่างหนึ่งตรงที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อไหร่ที่เราเล่นเกมของใคร (โดยเฉพาะเกม-กติกาของคนมีอารยธรรม “ผู้เจริญแล้ว”) เราต้องเล่นให้เนียน ให้จบ ต้องทันเกม และชนะด้วยกติกาชนิดเดียวกันเท่านั้น ไม่งั้นก็จะไม่มีทางลืมตาอ้าปาก หาไม่แล้วก็อย่าริเริ่ม หายใจ หรือขยับตัว และจงอยู่ในถ้ำของตัวเหมือนเดิม อย่าไปหัดซ่าส์ที่ไหน (เออ สรุปยังไงของมันวะเนี่ย)
ทำไมอเมริกันถึงไม่รู้จักเบื่อที่จะสอนสั่งชาติอื่น ทั้ง ๆ ที่คนอเมริกันที่พอจะรู้จักวัฒนธรรมของชาติอื่นอยู่บ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ก็กระจุกตัวอยู่ในนิวยอร์ค ซาน ฟรานซิสโก แอลเอ เท่านั้น แต่รัฐอื่นแทบไม่รู้เหวหอกหรือสนใจอะไรเลยว่าชาติอื่นเขานับถืออะไร อยู่ยังไง
เพราะนี่หรือเปล่าที่ทำให้คนอเมริกันไม่อยากรับสภาพว่าประเทศตัวเองนั้นที่แท้ยากจน กลวงโบ๋ และปรุงแต่งแค่ภาพพจน์ อย่างที่หนัง Taxi Driver และ King of Comedy ของ มาร์ติน สกอร์เซซี่ แสดงให้เห็น อีกทั้งยังไม่ใช่ประเทศที่เป็น “ดินแดนแห่งความพรั่งพร้อม” (Land of Plenty) ได้แต่หวาดระแวงผู้ก่อการร้าย จนหลงลืมความเผื่อแผ่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ (อย่างที่แสดงในหนัง Land of Plenty ของ วิม เวนเดอร์ส)
หัวหน้า - And you know that the world is divided in two parts. On the one side is right and on the other side is wrong. Wrong is red and right is……..
ตอนไปเบอร์ลินปี 2004 เคยเกือบได้เจอผู้กำกับ วิลเลี่ยม ไคลน์ (William Klein) นี่อยู่เหมือนกัน แต่ก็พลาดไป เพราะเขาจัดเป็นหนังรอบดึก กลัวหลงทาง กลัวหนาว กลัวไม่สบาย กลัวสารพัด กลับที่พักไม่ถูก ตอนนั้นเขามาที่ Filmmuseum Berlin พูดคุยตอนรอบฉาย Who are You, Polly Magoo? มาตอนนี้ คงไม่มีทางเห็นตัวจริงแล้ว เพราะอายุเขาก็ไม่ใช่น้อย ๆ ราว ๆ 80
แล้วภาพเบื้องหลังวงการแฟชั่น หรือวงการบันเทิงเขาก็ถ่ายทอดออกมาได้เฉียบคมไม่แพ้กัน บางครั้งด้วยการจัดองค์ประกอบภาพกับจังหวะที่ลงตัวทำให้สิ่งที่เกิดตามธรรมชาติ กลับมีผลออกมาในเชิงนามธรรมที่ให้ความหมายใหม่ต่างจากความสมจริง (รวมถึงในหนังที่เขากำกับอย่าง Who are You, Polly Magoo?)
ในบรรดาช่างภาพระดับโลกที่หันมากำกับหนัง อยากดูหนังของ Robert Frank มาก ๆ ภาพถ่ายของเขายิ่งเป็นตำนานมากกว่า William Klein เสียอีก ลองรื้อสูจิบัตรโปรแกรมเก่า ๆ ของโรง NFT ลอนดอนเห็นเคยฉายเรื่อง Candy Mountain เรื่องนั้นมี Rudy Wurlitzer เขียนบท มีคนแสดงอย่างนักดนตรี Tom Waits และสาวฝรั่งเศส Bulle Ogier (ทำไมมีแต่ประเทศฝรั่งเศสที่ให้ทุนศิลปินพวกนี้ทำหนัง-แล้วคนลุงแซมเมือง Freedom ล่ะ มัวเอาเงินไปล้างบางประเทศอื่นหรือไง) นี่รอดูมาเป็น 20 ปีแล้วนะเนี่ย
A little tribute to the excellent Hiroshi Shimizu and a few bits on less known Japanese Masters
ดูไปทั้ง 4 เรื่อง Japanese Girls at the Harbour, Ornamental Hairpin, The Masseurs and a Woman และ Mr. Thank You แจ๋วจริงทั้ง 4 เรื่อง แม้จะไม่คมคายเท่าหนังแบบ ยาสุจิโร่ โอสุ แต่ก็ชอบมากกว่า โอสุ เพราะดูเนื้อเรื่องหลากหลายกว่า แถมกระจุ๋มกระจิ๋มดีด้วย
ของตายว่าหนังทั้ง 4 เรื่องต้องมีบทเด็กซน ๆ (ใน Mr. Thank You บทบาทน้อยสุด) แล้วก็มีบทหญิงโสเภณีที่ทิ้งงานทิ้งการมาสัมผัสกับธรรมชาติ หรือตระหนักถึงคุณค่าของบริสุทธิ์แห่งรัก (ฟังดูเชย แต่ทำดี๊ดี) เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ค่อนข้างน้อย แต่รายละเอียดน่ารักเหลือเกิน (ยกเว้น Japanese Girls at the Harbour ที่ดูพล็อตรันทดหน่อย) แต่บทสรุปทุกเรื่องก็หวานเศร้า ง่ายงามผสมขำขัน แล้วก็ไม่ดูเชยตกยุคหรือจงใจแบบหนัง “บุญชู” หรือ “วัยอลวน” ซึ่งไม่รู้จะเฉลิมฉลองวันวานไม่หวานกันไปทำไมอีก เพราะมันไม่กิ๊บเก๋พอสำหรับวัยรุ่นไทยยุคนี้ ดูกี่ทีก็รู้ว่าคนทำห่างจากประสบการณ์แบบนักศึกษามานานโลด
ที่จริงอดรู้สึกไม่ได้ว่าการสื่อให้เห็นความรู้สึกละเอียดอ่อน และทางเลือกที่น้อยทางของลูกผู้หญิงญี่ปุ่นในสมัยก่อนนั้น ชิมิสึ ทำได้นุ่มนวล ไม่ฟูมฟายและไม่ชี้นำมากเกินไปหากเทียบกับหนัง เคนจิ มิโซงุจิ (Kenji Mizoguchi) ซึ่งเฟมินิสต์หนักมือไปหน่อย หลายเรื่องของ มิโซงุจิ ที่เป็นคลาสสิคอย่าง Oharu, Sansho หรือ Ugetsu Story นอกจากเรื่องภาพแล้วสาระหนักมือชะมัด การแสดงก็มิติเดียว (แต่มีเรื่องหนึ่งที่มูลนิธิญี่ปุ่นจัดฉายที่ EGV ดิสคัฟเวอรี่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ จำชื่อไม่ได้ มันเป็นหนังไม่ดังเท่าไหร่ แต่ก็ดูกลมกล่อมกว่าเรื่องอื่น)
โดยเฉพาะหนัง Taifu Club และ Moving ของ ชินยิ โซไม ที่มหัศจรรย์เหลือเกินในการถ่ายทอดอารมณ์มุมมองเด็กงุ่นง่านเมื่อไม่มีผู้ปกครอง แม้แต่เรื่อง Sailor Suit and the Machine Gun ที่สร้างจากการ์ตูนฮิต และมีป๊อปไอดอลของยุค - ฮิโรโกะ ยากุชิมารุ (เมื่อก่อนเธอดังเหลือเกิน) เรื่องหลังนี้อาจจะดูเป็นการ์ตูนไปหน่อย แต่ก็ยังเห็นได้ว่าความสนใจของคนทำแท้จริงอยู่ที่ไหน ก็ทั้ง 3 เรื่องต่างเป็นเรื่องของเด็ก ๆ ที่ต้องดูแลตนเอง เพราะผิดหวังและพึ่งพาโลกของผู้ใหญ่ไม่ได้อีก พวกเขาต้องรีบโตขึ้นอย่างฉับพลันทันด่วนเพื่อดูแลตัวเองให้รอด แล้วก็ต้องมีลักษณะธรรมชาติเชิง magic hour ที่เกิดอาเพศ พายุ การเคลื่อนไหวของธาตุทั้งสี่มาขับเน้นการตระหนักรู้ของตัวละคร
เกือบลืมอีกอย่างหนึ่ง เรื่อง Ornamental Hairpin (Chishu Ryu คนที่เล่นเป็นพ่อในหนังโอสุเป็นพระเอกเรื่องนี้) กับ The Masseurs and a Woman ดูติดต่อกัน เหมือนมีความต่อเนื่องตรงที่นักแสดงและลักษณะตัวละครมีปรากฏซ้ำ เป็นบทของกลุ่มหมอนวดชายตาบอดที่รับจ้างนวดตามโรงแรมต่าง ๆ ประหลาดดีที่รับนวดทั้งชายทั้งหญิงถึงในห้องหับ แต่มันคงเป็นวัฒนธรรมปกติของญี่ปุ่นมากกว่า เห็นเรื่อง Blind Beast ของ ยาซูโซ่ มาซามูระ ก็เหมือนกัน(ภาพจาก http://www.dvdbeaver.com/)
เดือนกรกฏาคมได้อ่านเรื่องสั้นเลสเบี้ยน 3 เรื่อง คือ The “Sound” of Music ของ Joan M. Drury, Elsie Riley ของ Martha Miller และ Phantoms ของ Ursula Steck ชอบเรื่องแรกและเรื่องที่สามเป็นพิเศษ เรื่องแรกพล็อตหักมุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับสาวหูหนวกที่แฟนเธออยากให้รู้จักรสชาติของเสียงเพลง ส่วนเรื่องที่สามให้บรรยากาศชายคุกคามหญิงทอม-ดี้เดินไพร แบบลึกลับกว่า Boys Don’t Cry
The Film Club
เดวิด เลี้ยง เจสซี่ ด้วยหนังทุกรูปแบบ ตั้งแต่ American Graffiti, Scarface (ฉบับปี 1983 ที่ อัล ปาชิโน่ แสดง), Breakfast at Tiffany’s, Dead Ringers, The Bicycle Thief, Le Samourai, High Noon, Night Moves, Jackie Brown, On the Waterfront, Casablanca, The Shining, La Femme Nikita, Reservoir Dogs ไล่ไปถึง Rocky III, Under Siege และหนังสุดห่วยที่หลายคนหลงใหลอย่าง Showgirls
เด็กแรกหนุ่มยุคใหม่ที่นุ่งกางเกงโกร่งเป้ายานอย่าง เจสซี่ นั้นมีอะไรเหลือเฟือที่จะผูกพันกับหนังของคนหนุ่มสาว (ที่ไม่เก่ามาก) อย่าง True Romance, Chungking Express โดยเฉพาะเมื่อเขาเริ่มมีรักครั้งแรก ซึ่งเป็นรักขมอมทุกข์ หนำซ้ำยังหลงรักกับสาวหมวยลูกครึ่งจีน-อเมริกัน ที่นิสัยสุดเปรี้ยวและหน้าตาเหมือน เฟย์ หว่อง – นางเอก Chingking Express เข้าให้อีกต่างหาก นั่นทำให้คุณพ่อต้องใช้เทคนิคดูหนัง-สอนชีวิต ควบคู่ไปกับการปรึกษาปัญหาหัวใจให้ลูกชายซึ่งต้องมีชั้นเชิงพอควรแบบฝรั่ง คือไกลมากไม่ดี ใกล้มากไม่ได้
นอกจากนั้น เดวิด ยังอ้างถึงสิ่งที่ พอลลีน เคล นักวิจารณ์หญิงอีโก้จัดที่ทรงอิทธิพลมากในยุคหนึ่งเคยพูดไว้ว่า แครี่ แกรนท์ อาจมีความสามารถทางการแสดงในขอบเขตที่ไม่กว้างนัก แต่สิ่งที่คนอื่นไม่มีทางทำได้ดีเท่าเขาคือ ดูเป็นผู้ดีแบบไม่ก้าวร้าว เวลาทำอะไรโง่ ๆ น่าขันก็กลับกลายเป็นน่าเอ็นดู และดูดีมีสกุลรุนชาติขึ้นมาได้ นั่นก็เพราะว่า คนดูหนังอยากเห็นตัวเองเป็นแบบนั้นถึงได้ชอบ แครี่ แกรนท์ ไง
ยูกิโอะ มิชิม่า ทำหนัง
หัวใจทรนง กับ สภาโจ๊ก
ต้นเดือน ก. ค. Esquire ออก มีบทความเรื่องหนังสือการ์ตูน graphic novel ของเราลง ที่จริงบทความประวัติศาสตร์การ์ตูนไม่ใช่ประเด็นที่อยากเขียนเลย รู้สึกเขียนได้ไม่ดีนัก แต่ก็เป็นงานในนิตยสารที่ไม่มีโอกาสได้ไปเขียนบ่อย ๆ รวมแล้วก็ต้องขอบคุณที่มีคนเรียกใช้บริการ และคงต้องขอบคุณ filmsick ด้วย เพราะตอนแรกสื่อสารกับกองบรรณาธิการไม่เข้าใจ หลงคิดว่าเขียนให้ High Class กระทั่งหนังสือออก filmsick บอกถึงได้รู้ หลงโง่อยู่ตั้งนาน
16 ก.ค. ได้เอาหนังไปฉายที่ ม. สวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี ไม่เคยคิดว่าจะต้องไปฉายหนังแล้วพูดอะไรที่ไหน (เคยไปแต่ ม. สงขลานครินทร์ ปัตตานี แต่คราวนั้นฉายหนังอย่างเดียว ไม่ได้พูด) ไม่เคยคิดเลยว่าตูข้าจะมีปัญญาเป็นอาจารย์ หรือสอนวิชาอะไรกับใครได้ (ขนาดปัจจุบันก็ยังคิดว่าเขียนบทความไม่ค่อยเป็นด้วยซ้ำ) แต่ไม่น่าเชื่อ พอลองบรรยายดู มันสนุกดีแฮะ กลับมาติดใจ อยากสอนเป็นคอร์สมันไปเลย นอนคิดเตรียมการสอน ตระเตรียมวิชาใหญ่จนตื่นเต้นนอนไม่หลับ แต่ก็ได้แค่ฝัน เพราะเอาจริงคงไม่มีใครกล้าชวนไปเปิดคอร์สแน่ ๆ
เมื่อวานวันที่ 12 สิงหา เขาว่าเป็นวันแม่ ไม่ได้ทำตัวดีอย่างที่ทีวีสอน แต่มีคนเมสเสจมาหา ตื่นเต้นตกใจ หา เฟรด เคเลเม็น เจ้าชายมืดของเรานี่เอง เซอร์ไพร้ซ์จริง ๆ เลยเล่นสนุกส่งข้อความกลับไปกลับมาตั้ง 4-5 รอบ เหมือนเด็กเล่นของเล่นเลยแฮะ ที่จริงทำไม่เป็นหรอก เซาะส่งให้น่ะ นี่ไม่ได้ติดต่อกับ เฟรด ตั้งแต่เมษา นึกว่าเลิกคบกันเสียแล้ว เลยลองทักว่า ยังจะมาสอนเมืองไทยอีกไหม ยังทำไหมหนังไทย หรือจะมาเที่ยวก็ได้ กะว่าจะพาไปลพบุรีเสียหน่อย เออ ถ้า เฟรด มาจริง คงแปลก ๆ ดี
ได้ดูหนังตัวอย่าง Inglorious Bastards หนังสงครามของ Enzo G. Castellari ในแผ่นดีวีดีหนังคาวบอยอิตาเลี่ยนเรื่อง Kedma จำได้ว่าชื่อมันเป็นชื่อคล้ายกับโปรเจ็คท์ค้างปีของ Quentin Tarantino พอดูตัวอย่างถึงได้รู้ว่าที่แท้ Quentin ยืมชื่อมาแปลงใหม่ เป็น Inglourious Basterds แน่นอนว่าหนังของ เควนติน ต้องไม่เหมือนของเดิมแน่ เห็นว่าเขียนบทใหม่ยาวเป็น 2 ภาคแบบ Kill Bill